เมนู

5. อปาทิฏฐิสูตร



ว่าด้วยพระอรหันต์ 4 ทิศทรมานพรหม



[573] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ก็โดยสมัยนั้นแล พรหมองค์หนึ่งได้เกิดทิฐิอันชั่วช้าเห็นปานดังนี้ว่า
สมณะหรือพราหมณ์ที่จะพึงมาในพรหมโลกนี้ได้ไม่มีเลย.
[574] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่ง
ใจของพรหมนั้นด้วยพระทัยแล้ว ทรงหายไปในพระวิหารเชตวันปรากฏแล้ว
ในพรหมโลกนั้นเปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังพึงเหยียดออกซึ่งแขนที่คู้ไว้ หรือ
พึงคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดออก ฉะนั้น.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิในเวหาเบื้องบน
ของพรหมนั้น เข้าเตโชธาตุกสิณแล้ว .
[575] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้มีความคิดเช่นนี้ว่า
บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ ที่ไหนหนอ.
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นแล้วแลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้
ประทับนั่งขัดสมาธิในเวหาเบื้องบนของพรหมนั้น ทรงเข้าเตโชธาตุกสิณแล้ว
ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นแล้วได้หายไปใน
พระวิหารเชตวัน ปรากฏแล้วในพรหมโลกนั้น ปานดังบุรุษมีกำลังพึงเหยียด
ออกซึ่งแขนที่คู้เข้า หรือพึงคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดออกแล้ว ฉะนั้น.

ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะอาศัยทิศบูรพา นั่งขัดสมาธิ
ในเวหาเบื้องบนของพรหมนั้น ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าเตโชธาตุ
กสิณแล้ว.
[576] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปได้มีความคิดนี้ว่า บัดนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอแล ท่านพระมหากัสสปได้เห็น
แล้วเเลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์ ฯลฯ ครั้นแล้วได้
หายไปในพระวิหารเชตวัน ปรากฏแล้วในพรหมโลกนั้น ปานดังบุรุษมีกำลัง
ฯลฯ ฉะนั้น.
ลำดับนั้นแล ท่านพระมหากัสสปอาศัยทิศทักษิณนั่งขัดสมาธิในเวหา
เบื้องบนของพรหมนั้น ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าเตโชธาตุกสิณแล้ว.
[577] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัปปีนะได้มีความคิดนี้ว่า บัดนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอแล
ลำดับนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ
ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์ ครั้นแล้วได้หายไปในพระวิหารเชตวันปรากฏแล้วใน
พรหมโลกนั้น ปานดังบุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น.
ลำดับนั้นแล ท่านพระมหากัปปีนะอาศัยปัจฉิมทิศ นั่งขัดสมาธิใน
เวหาเบื้องบนพรหมนั้น ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าเตโชธาตุกสิณแล้ว.
[578] ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะได้มีความคิดนี้ว่า บัดนี้พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอแล ท่านพระอนุรุทธะได้เห็นแล้วแล
ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์ ครั้นแล้วได้หายไปใน
พระวิหารเชตวัน ปรากฏแล้วในพรหมโลกนั้น ปานดังบุรุษมีกำลัง ฯลฯ
ฉะนั้น.

ลำดับนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะ อาศัยทิศอุดรนั่งขัดสมาธิในเวหา
เบื้องบนของพรหมนั้น ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าเตโชธาตุกสิณแล้ว
[579] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคลลานะได้กล่าวกะพรหมด้วย
คาถาว่า
ผู้มีอายุ ทิฐิในก่อนของท่าน แม้ใน
วันนี้ก็ยังมีแก่ท่านหรือ ท่านเห็นพระผู้มี
พระภาคเจ้าผู้เป็นไปล่วงวิเศษ ผู้เป็นเบื้อง
หน้าของสัตว์ในพรหมโลกหรือ.

[580] พรหมนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ทิฐิในเก่า
ก่อนของข้าพเจ้ามิได้มีแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า
ย่อมเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นไปล่วง
วิเศษ ผู้เป็นเบื้องหน้าของสัตว์ในพรหม
โลก ไฉนในวันนี้ ข้าพเจ้าจะพึงกล่าวว่า
เราเป็นผู้เที่ยงเป็นผู้ติดต่อกัน ดังนี้เล่า.

[581] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้ายังพรหมนั้นให้สลดใจแล้ว
ได้หายไปในพรหมโลกนั้น ปรากฏแล้วในพระวิหารเชตวันปานดังบุรุษมีกำลัง
พึงเหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้า หรือพึงคู้เข้าซึ่งแขนที่ได้เหยียดออกแล้ว ฉะนั้น
ลำดับนั้นแล พรหมได้เรียกพรหมปาริสัชชะ1 องค์หนึ่งมาว่า แน่ะ
ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านจงมา ท่านจงเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะจนถึงที่อยู่
ครั้นแล้วจงกล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์
1. คือพรหมสำหรับรับใช้ของมหาพรหม เพราะแม้มหาพรหมก็มีพรหมไว้รับใช้เหมือน
พระเถระมีภิกษุหนุ่ม ๆ ไว้ช่วยถือบริขาร ฉะนั้น

สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้เหล่าอื่นซึ่งมีฤทธิ์มากมี
อานุภาพมาก เหมือนกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระกัสสป ท่านพระ-
กัปปินะและท่านพระอนุรุทธะผู้เจริญ ก็ยังมีอยู่หรือหนอแล.
พรหมปาริสัชชะนั้นรับคำของพรหมนั้นว่า อย่างนั้นท่าน ผู้นิรทุกข์แล้ว
หายไปในพรหมโลกนั้น ปรากฏแล้วข้างหน้าท่านพระมหาโมคคัลลานะ ปาน
ดังบุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น.
[582] ครั้งนั้นแล พรหมปาริสัชชะนั้น อภิวาที่ท่านพระมหาโมค-
คัลลานะแล้ว ได้ยืนอยู่ในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พรหมปาริสัชชะนั้นยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้กล่าวคำนี้กะท่าน
พระมหาโมคคัลลานะว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพระองค์นั้นแม้เหล่าอื่นซึ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเหมือนกับท่าน
พระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระกัสสป ท่านพระกัปปินะ และท่านพระอนุรุทธะ
ก็ยังมีอยู่หรือหนอ.
[583] ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะพรหม
ปาริสัชชะด้วยคาถาว่า
สาวกทั้งหลายะองพระพุทธเจ้า ซึ่ง
ได้วิชชา 3 บรรลุอิทธิวิธิญาณ และฉลาด
ในเจโตปริยญาณ หมดอาสวะ ไกลจาก
กิเลส มีอยู่มาก ดังนี้.

[584] ลำดับนั้นแล พรหมปาริสชัชะนั้นชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของ
ท่านมหาโมคคัลลานะแล้ว เข้าไปหาพรหมนั้นถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้
กะพรหมนั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระมหาโมคคัลลานะกล่าวเช่นนี้ว่า

สาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ซึ่ง
ได้วิชชา 3 บรรลุอิทธิวิธิญาณ และฉลาด
ในเจโตปริยญาณ หมออาสวะ ไกล
กิเลส มีอยู่มาก ดังนี้.

[585] พรหมปาริสัชชะได้กล่าวคำนี้แล้ว พรหมมีใจยินดีชื่นชม
ภาษิตของพรหมปาริสัชชะนั้นแล.

อรรถกถาอปราทิฏฐิสูตร



ในสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตา ความว่า พระเถระทำบริกรรมใน
เตโชกสิณแล้วออกจากฌานที่เป็นบาท อธิษฐานว่า ขอเปลวไฟจงพุ่งออกจาก
สรีระ ด้วยอานุภาพจิตอธิษฐาน เปลวไฟพุ่งออกทั่วสรีระ. พระเถระชื่อว่าเข้า
เตโชธาตุสมาบัติอย่างนี้. ครั้นเข้าสมาบัติอย่างนั้นแล้ว ก็ไปในพรหมโลกนั้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร พระเถระจึงได้ไปในที่นั้น. ตอบว่า ได้ยินว่า พระเถระเข้า
สมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์เห็นพระตถาคตประทับนั่งเหนือพรหมนั้น จึงได้มี
ความคิดดังนี้ว่าบุคคลนี้เป็นผู้แทงทะลุปรุโปร่งถึงอัฐิ ก็เราพึงไปในที่นั้น ฉะนั้น
จงได้ไปในที่นั้น. แม้ในการไปของพระเถระที่เหลือก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
แม้พรหมนั้นไม่ได้เห็นอานุภาพของพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต จึงไม่
ควรเข้าถึงการแนะนำ. ด้วยเหตุนั้น จึงได้มีประชุมกันอย่างนั้นในที่ประชุมนั้น
เปลวไฟที่พุ่งออกจากสรีระของพระตถาคตล่วงเลยพรหมโลกทั้งสิ้นแล่นไปใน
อวกาศ ก็แลวรรณะเหล่านั้น ได้มี 6 สี รัศมีของสาวกพระตถาคตก็มีวรรณะ
ธรรมดานั่นเอง.